วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Mallorca Op.202 by Isaac Albéniz analysis




ท่อนแรก(A)อยู่ในkey D minor

บรรทัดที่ 3 คือ ท่อนที่2(B)อยู่ใน key D major
สัญลักษณ์เทคนิค pizzicato ในบรรทันสุดท้ายห้องที่ 1-3
"สงวนสิทธิ์ มุทิตา นาคเมือง"
Mallorca Op.202 by Isaac Albéniz
         Isaac Albéniz(May 29, 1860 – May 18, 1909) เป็นนักเปียโนและนักแต่งเพลงชาวเสปน เกิดที่ตำบลCamprodonจังหวัดGirona ในประเทศ spain
         Albéniz ถือว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์ตั้งแต่เด็กๆ โดยที่เขาได้แสดงต่อหน้าสาธารณะชนตั้งแต่เพียง 4 ขวบ และอายุได้เพียง 7 ขวบก็สอบผ่านการออดิชั่นเพื่อที่จะศึกษาเปียโนที่ Paris Conservatoire แต่ก็ไม่ได้ตัดสินใจที่จะศึกษาที่นั่นทันที
          จนเมื่อเขาอายุได้ประมาณ
12 ปีก็มีโอกาสได้เดินทางไปเปิดแสดงที่ New YorkและSan Francisco จากนั้นก็ได้ไปที่เมือง Liverpool และ London จนอายุได้ครบ 15ปี ถือได้ว่าเขาได้เดินทางเปิดการแสดงทั่วทั้งยุโรปและอเมริกาในปีคศ.1883 Albéniz ได้พบกับนักแต่งเพลงชื่อ Felipe Pedrell ผู้ซึ่งเป็นครูของเขาและเป็นผู้ให้แรงบันดาลใจกับAlbénizเกี่ยวกับการเขียนเพลงที่มีสำเนียงและกลิ่นไอแบบสเปน(nationalism) เช่น ผลงานT
he Suite Española, Op. 47 ซึ่งmovement ที่5ของเพลงชุดนี้มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมเป็นอย่างมากสำหรับกีตาร์คลาสสิค เพลงนั้นก็คือเพลงAsturias(Leyenda)
          สิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่งสำหรับ
suiteชุดนี้ก็คือแรกทีเดียว
Albéniz แต่งขึ้นสำหรับเปียโนแต่หากเพลงนี้ต่อมาได้มีการทำtranscription จากเครื่องดนตรีเปียโนมาให้กับกีตาร์คลาสสิคโดย Francisco Tárrega ซึ่งนอกจาก suite ชุดนี้แล้ว Tárrega ก็ได้ทำtranscription ให้กับเพลงอื่นๆของ Albéniz ด้วย
           



                             Mallorca เป็นชื่อเกาะๆหนึ่งในประเทศสเปนซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ              
               เพลง Mallorca นี้มักพบเห็นในหลายๆtitle เช่น Mallorca เฉยๆหรืออาจจะเป็น Mallorca Op. 202 หรือ Mallorca (Barcarolle)
              
เพลงนี้ประวัติเพลงไม่มีประวัติเพลงเป็นที่กล่าวถึงมากเท่ากับบทเพลงชุด
T
he Suite Española, Op. 47 ของ Albéniz เอง แต่ทว่าเพลงนี้ก็มีคุณค่าในตัวของมันเอง เป็นอีกชิ้นงานหนึ่งที่น่าสนใจมีความไพเราะจากท่วงทำนองที่Albénizบรรจงประพันธ์สำหรับเครื่องดนตรีpiano และเพลงนี้ Tárrega เป็นนักกีตาร์คนแรกที่ได้นำเพลงมาเรียบเรียงใหม่ให้กีตาร์คลาสสิค
             


                เพลงนี้อยู่ในtime signature 6/8  แบ่งเป็นโครงสร้างใหญ่ๆสองท่อนคือA-B-da capo al coda(A-B-A’-coda) ท่อนที่1(A)และท่อนที่2(B)  คือท่อนแรก(A)จะอยู่ในkey D minor(ในเปียโนเป็นคีย์ f#m) และ ท่อนที่2(B)จะอยู่ใน key D major(ในเปียโนเป็นคีย์ F#major) ทำให้เกิดความแตกต่างทางอารมณ์เพลงอย่างให้ได้ชัดจากทำนองเศร้าๆในส่วนที่1(A) กลับมาสว่างสดใสในส่วนที่2(B) 
               เป็นอีกตัวอย่างของเพลงที่ใช้เทคนิค
Parallel key[กุญแจเสียงคู่ขนาน]ในการแต่ง เป็นลักษณะการแต่งที่ได้รับความนิยมในยุคโรแมนติก
ในแต่ละเพลงนั้นการจูนสายจะแตกต่างกันไปตามแต่ความต้องการของผู้ประพันธ์เพลงหรื อผู้เรียบเรียงเพลงนั้นๆ ซึ่งในเพลงนี้เป็นการจูนสายกีตาร์ที่ไม่ปกติ(Alternative tuning) คือเปลี่ยนสายที่6 จากโน้ตE เป็นโน้ต D สามารถเรียกวิธีการดรอปสายแบบนี้ได้ว่า D-Dropped tunings
                Pizzicato เป็นเทคนิคสำหรับมือขวา  เป็นชื่อเทคนิคการดีดสายไวโอลินแทนการสี
แต่เมื่อนำมาใช้กับกีตาร์แล้ว วิธีการเล่นก็คือใช้สันมือของมือขวาวางทาบกับสะพานสาย
(bridge)  แล้วใช้นิ้ว p(หัวแม่มือ) ดีดสาย เสียงที่ได้จึงมีลักษณะคล้ายกับการใช้นิ้วดีดไวโอลิน
 Slur เป็นเทคนิคสำหรับมือซ้าย เป็นเทคนิคที่เป็นการดีดครั้งเดียวแล้วได้โน้ต2เสียงหรือ  มากกว่า2เสียง  สัญลักษณ์ที่ปรากฎจะเป็นลักษณะเส้นโค้งบนหัวโน้ตหรือหางโน้ต


                     ลองฟังตัวอย่างเพลงนี้โดยนักกีตาร์คลาสสิคระดับตำนาน   Julian Bream    http://www.youtube.com/watch?v=27fgP7-pG64                                    
           




วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Recuerdos de la Alhambra by Francisco Tárrega(1852-1909) analysis




"สงวนลิขสิทธิ์ มุทิตา นาคเมือง " 
Recuerdos de la Alhambra by Francisco Tárrega(1852-1909)
               
Francisco Tárrega,(21 November 1852 — 15 December 1909) เป็นนักแต่งเพลงและนักกีตาร์ชาวสเปนซึ่งมีอิทธิพลต่อวงการกีตาร์คลาสสิคเป็นอย่างมาก เขาเกิดที่เมือง Villareal,Castellón,Spain
พ่อของ
Tárrega เป็นเล่นกีตาร์สไตล์ flamencoอยู่แล้ว ว่ากันว่าเมื่อพ่อของ Tárrega ออกไปทำงาน Tárrega เองก็จะนำกีตาร์ของพ่อของเขามาเล่นเลียนแบบตามเสียงที่เขาได้ยินจากที่พ่อของเขาได้เล่นนั่นเองเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาสนใจในดนตรี
 
               Tárrega เริ่มเล่นเปียโนก่อนที่จะเล่นกีตาร์ เริ่มเรียนกีตาร์อย่างจริงจังในปี 1862และได้เล่นให้Arcasฟังตามคำของร้องของพ่อของ Tárrega หลังจากนั้นTárrega ก็ได้เป็นเรียนกีตาร์กับ Arcasที่ Barcelona
                Tárrega ได้ศึกษาดนตรีที่ Madrid Conservatory ในปี 1874 โดยได้รับการสนับสนุนค่าเล่าเรียนจากพ่อค้าผู้ร่ำรวยชื่อ Antonio Canesa ด้วยความบังเอิญที่พ่อค้าคนนี้ได้ฟัง Tárrega เล่นเปียโนแล้วเกิดความประทับใจในเสียงเปียโนของ Tárrega  ณ คาสิโนแห่งหนึ่งที่ Tárrega ทำงานเล่นเปียโนอยู่ที่นั่น
                 ณ
Madrid Conservatory ไม่ได้มีการเรียนการสอนกีตาร์แต่อย่างใด แต่เขาได้เรียนเปียโนและการประพันธ์เพลงและฝึกซ้อมกีตาร์ด้วยตัวเอง
 
               Emilio Arrieta อาจารย์ผู้สอนการประพันธ์เพลงให้กับ Tárrega ได้มีส่วนสนับสนุนให้ Tárrega เล่นกีตาร์และฝึกฝนการเรียบเรียงเสียงประสานต่างๆให้กับกีตาร์
                นอกจาก
Tárregaจะมีผลงานการประพันธ์เพลงสำหรับกีตาร์แล้วเขายังได้ทำ transcription จากผลงานประพันธ์จากเพลงของเปียโนเช่น งานของ Beethoven, Chopin,Mendelssohn  และ Albeniz
ทาร์เรการ์ถึงกับมีคนตั้งฉายาว่าพ่อมดแห่งกีตาร์คลาสสิค เนื่องจากในสมัยที่เขามีชีวิตอยู่เขาคือผู้ที่ประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับในการแสดงกีตาร์ และเนื่องจากบทเพลงของเขามีความพิถีพิถันเต็มไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง เทคนิคและรูปแบบที่เปี่ยมไปด้วยสีสัน และผลงานที่มีอิทธิพลเรื่อยมาจวบจนปัจจุบัน ซึ่งผลงานของเขาเองมีคุณค่าอย่างมากต่อวงการกีตาร์คลาสสิค


Recuerdos de la Alhambra (Memories of Alhambra),เพลงนี้ Tárrega ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก สถานที่ที่ชื่อว่า Alhambra ซึ่งเป็นป้อมปราการของชาวมัวร์ในเมือง Granada ของสเปน Tárregaแต่งเพลงนี้ในระหว่างที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่เมือง Granada กับครอบครัวของเขาเองและแต่งอุทิศให้กับเพื่อนชาวฝรั่งเศส Alfred Cottin ผู้ช่วยจัดการเรื่องการแสดงคอนเสิร์ตของ Tárrega ในฝรั่งเศส
เพลงนี้ยังได้เคยถูกเลือกเป็นดนตรีประกอบภาพยนตร์ ของภาพยนตร์ถึงสองเรื่องคือ
Killing Fields, Sideways
ท่อนแรกใน key A minor
ท่อนที่ 2 (เริ่มที่บรรทัดที่4) อยู่ใน key A major



            เพลงนี้อยู่ในTime signature3/4  แบ่งเป็นโครงสร้างใหญ่ๆสองท่อน คือ ท่อน ที่1(A) และท่อนที่2 (B) คือท่อน A จะอยู่ในkey A minor และ ท่อน B จะอยู่ใน key A major ทำให้เกิดความแตกต่างทางอารมณ์เพลงอย่างให้ได้ชัดจากทำนองเศร้าๆในท่อนA กลับมาสว่างสดใสในท่อน B
            เป็นอีกตัวอย่างของเพลงที่ใช้เทคนิค
Parallel key[กุญแจเสียงคู่ขนาน]ในการแต่ง เป็นลักษณะการแต่งที่ได้รับความนิยมในยุคโรแมนติก
            เทคนิค
Tremolo ถือเป็นเทคนิคพิเศษเฉพาะตัวของกีตาร์คลาสสิคเป็นการสั่นสะเทือนของสายกีตาร์ด้วยการรัวอย่างรวดเร็วบนสายกีตาร์เพียงหนึ่งสาย ให้เป็นทำนองเดียวกันอย่างพริ้วไหวแนบเนียน
เทคนิคนี้เป็นเทคนิคขั้นสูงของการเล่นกีตาร์คลาสสิค ดังนั้นถ้าจะให้เล่นให้ดีต้องมีการฝึกฝนเป็นอย่างมาก
รูปแบบและวิธีการเล่น
tremolo ก็คือการเล่น กระจายคอร์ด(Apegio)นั่นเอง  แต่การ เล่น tremolo ได้เพิ่มการเน้นที่ตัว ทำนอง (melody)  ให้มากขึ้น  ด้วยการรัว ให้เสียง melody ต่อเนื่องกันไม่ให้เสียงขาดตอน ด้วยปลายนิ้ว ชี้ กลาง นาง(a-m-i .....)  ส่วนนิ้วหัวแม่มือ (P) จะเป็นตัวกระจายคอร์ด ทำให้บทเพลงที่เล่นด้วย tremolo เทคนิคนี้มีความไพเราะอย่างน่าประหลาดใจ

นอกจากนี้ยังมีเทคนิคสำหรับมือซ้ายที่เรียกว่า slur เข้ามา นั่นคือการที่ดีดสายกีตาร์ด้วยมือขวาครั้งเดียวแต่ได้เสียงโน้ต 2 ตัวโดยที่ไม่ดีดโน้ตตัวที่2 (ตวัดสายด้วยมือซ้าย) ซึ่งเป็นเทคนิคที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน ต้องฝึกซ้อม
จะปรากฎเทคนิคนี้ในบางsection ของเพลง





ลองฟังตัวอย่างจากนักกีตาร์สาวชาวญี่ปุ่น Kaori Muraji ค่ะ http://www.youtube.com/watch?v=Ze2xEECWpto 

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

การวิเคราะห์เพลง(analysis) เพลง La Foresta Di Gokarnath(The Forest of Gokarnath) ประพันธ์โดย Alessio Monti(Italy, 1947)

"สงวนลิขสิทธิ์ มุทิตา นาคเมือง " 
http://www.youtube.com/watch?v=rzFwTMk9-3A
La Foresta Di Gokarnath (The Forest of Gokarnath) by Alessio Monti(Italy, 1947)     
                   Alessio Monti(http://www.alessiomonti.com/English.html) นักกีตาร์และนักประพันธ์เพลงชาวอิตาเลี่ยน เกิดในปีคศ.1947 เริ่มเล่นดนตรีเมื่อปี คศ. 1966โดยเริ่มเล่นกีตาร์ไฟฟ้ากับวงดนตรีร๊อคในอิตาลีและยังเขียนเพลงต่อต้านสงครามด้วย หลังจากนั้นเขาได้เริ่มเรียนกีตาร์คลาสสิคและในปีคศ.1983เขาได้สำเร็จการศึกษาที่the “L Cherubini” Conservatory of Florenceที่ซึ่งเชาได้รับเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง
              ดนตรีของAlessio Monti ได้รับอิทธิพลจากการที่เขาได้เดินทางท่องเที่ยวแถบเอเชียและการศึกษาเกี่ยวกับปรัชญาตะวันออกซึ่งทำสำเนียงดนตรีแถบตะวันออกเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งที่เราสามารถสัมผัสได้จากงานประพันธ์ของเขา
              การแสดงสดของเขาเป็นสไตล์ที่แปลกใหม่และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและเป็นที่สนใจในนักดนตรีและนักฟังเพลงหลากหลายสไตล์ไล่ไปตั้งแต่jazz,ฝั่งตะวันตกและดนตรีพื้นบ้านฝั่งตะวันออก
               นอกจากนี้เขายังได้เข้าร่วมในเทศกาลกีตาร์และมีมาสเตอร์คลาสในหลายๆที่ทั่วโลกเช่นIndia, America, Italy,Peru,Cilie และประเทศไทย

บทประพันธ์ของเขาโดยเฉพาะผลงานทางประพันธ์เพลงสำหรับเครื่องดนตรีกีตาร์ถือว่ามีการคิดค้นเทคนิคใหม่ๆให้กับกีตาร์ซึ่งเป็นที่แปลกหูและแปลกตาต่อผู้ที่ได้ฟังและตัวนักเล่นกีตาร์ที่พยายามฝึกและศึกษางานดนตรีสมัยใหม่(contemporarymusic)ด้วย
             ปัจจุบันเขามีผลงานการบันทึกเสียงมากกว่า22อัลบั้มและเขาใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทยและสอนกีตาร์คลาสสิคประจำอยู่ที่วิทยาลัยดุริยศิลป์มหาวิทยาลัยพายัพจังหวัดเชียงใหม่

La Foresta Di Gokarnath(The Forest of Gokarnath) เป็นบทประพันธ์ที่Monti ประพันธ์ขึ้นสำหรับกีตาร์ ซึ่ง Monti ได้รับแรงบันดาลใจจากการอ่านนวนิยายเรื่อง La Foresta Di Gokarnath ที่เขาได้มีโอกาสได้อ่านซึ่งเป็นนิยายที่มีประเทศเนปาลเป็นฉากหลัง
             ถ้าหากฟังเพลงนี้เผินๆจะได้ยินเหมือนกับเสียงSitar1ผสมกับกลองแลTanpura2หรือเรียกอีกอย่างว่าtambura จึงทำให้เพลงนี้ได้เสียงแปลกๆมากมายซึ่งเกิดจากเทคนิคพิเศษที่เขาได้คิดค้นขึ้นทำให้เพลงนี้เป็นเพลงที่น่าฟังและน่าพิศวงจากเสียงประหลาดที่เกิดขึ้นในบทเพลงนี้    
          


 เพลงนี้เป็นเพลงที่ไม่มีkey signature และ time signature และเส้นกั้นห้องปรากฎอยู่เลย จะมีแต่ก็ double bar line เท่านั้นที่แสดงเพื่อให้เข้าใจกันว่าจบท่อนแล้ว               เพลงนี้เป็นท่อนใหญ่ๆได้คือ Intro,A,B,C,A’,D 

             เพลงนี้เป็นการจูนสายกีตาร์ที่ไม่ปกติ(Alternative tuning) คือจูนเป็นเสียง(สายสูงไปสายต่ำ) D-A-D-G-A-E(เรียงลำดับจากสายที่6ถึง1)ลำดับโน้ตลักษณะนี้สามารถอ้างอิงได้ว่าเป็นการจูนแบบ Modal Tuning(แยกย่อยมาจาก Alternative tuning อีกทีหนึ่ง) หมายถึง การจูนที่อยากจะได้เสียงคอร์ดๆหนึ่งแต่ก็เกิดความก่ำกึ่งระหว่าง คอร์ด Major หรือ minor เป็นคอร์ดที่มีผลต่อdroning effect(สร้างeffect คลอไประหว่างเพลง) ส่วนใหญ่การจูนสายแบบ Modal Tuning นี้จะให้เสียงคอร์ด suspended 2หรือ4 ในที่นี้D-A-D-G-A-Eได้คอร์ด Dsus4 ซึ่งจะแตกต่างจากการจูนสายกีตาร์ปกติ(Standard Tuning)ซึ่งจะจูนสายเป็น E-A-D-G-B-E
            ตอนต้นของเพลงปรากฎเป็น Intro ซึ่งเป็นIntro ที่ค่อนข้างสั้น หากพิจารณาแล้วเป็นmelodyที่ดีดผ่านสายเปล่าทั้ง 6 สายของกีตาร์(D,A,D,G,A,E)เท่านั้น และมีคำศัพท์คือ confuoco ซึ่งแปลได้ว่า with great vigor and speed หรือแปลได้ว่าเล่นด้วยความรวดเร็ว นอกจากนี้ในท่อนนี้ปรากฎเทคนนิคพิเศษคือการใช้เล็บแตะลงไปบนสายกีตาร์บริเวณbridge ทำให้เกิดเสียงที่สั่นสะเทือนแปลกๆ
           ท่อนAนี้สามารถแบ่งออกเป็น section ได้โดยในแต่ละ section สามารถแบ่งออกได้โดยสังเกตจากtheme หลักของแต่ละ section ที่ปรากฎในตอนต้นเพลงของแต่ละsection และยังสามารถสังเกตได้จากthemeท้ายsectionซึ่งthemeนี้ปรากฎเทคนิคพิเศษอีกอย่างหนึ่งคือ harmonics ด้วย ซึ่ง เป็นแบบ natural harmonics  การตบสายกีตาร์บนบาร์กีตาร์และการดีดสายกีตาร์บนบาร์กีตาร์(ไม่ดีดตรงsound hole) และเทคนิคการใช้เล็บแตะ






ท่อนที่สอง ท่อน B
ตอนต้นเพลงมี tempo mark ที่ผู้ประพันธ์ได้เขียนไว้เป็นภาษาอิตาเลี่ยนคือ ritrieve & misterioso ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษได้ความประมาณ Hunting & Mysterious หรือถ้าแปลเป็นภาษาไทยจะได้ความอารมณ์ประมาณว่าค่อนข้างน่าพิศวงเหมือนนายพรานออกล่าสัตว์
ท่อน B นี้แบ่งเป็น 4 section ใหญ่ๆ แต่ละ section มีเทคนิคพิเศษที่เกิดขึ้นอีกอย่างหนี่ง มีการตีบนสายกีตาร์ทำให้เกิดเสียงHarmonic และตีตัวกีตาร์ไปพร้อมๆกับทำเทคนิคนี้โดยใช้สัญลักษณ์ซึ่งเป็นเหมือนตัวแสดงการจบ section นั้นๆด้วย
ในเรื่องของเทคนิคพิเศษมีอีกอย่างหนึ่งที่ปรากฎคือsectionที่1และsectionที่2ตรงการเดินmelody ผู้เล่นจะต้องตีสายบริเวณส่วนท้ายของสายกีตาร์ (bridge) โดยสังเกตได้จากเครื่องหมายtambora…………ใต้โน้ตในsection1และ2

             ในส่วนของsectionที่3และ4จะเป็นการดีดสายซึ่งแตกต่างกันตรงที่sectionที่3จะดีดแบบเกี่ยวสาย
ส่วน sectionที่4 จะดีดแบบรวด (strum)
             สามารถสรุปได้ว่าในด้านของ Melody ในท่อน B นี้ section ที่ 1 และ 2 melody เดินเป็นคู่ 8ไปเรื่อยๆ (parallel 8) ส่วนsection ที่ 3และ4 นั้นmelody เดินเป็นคู่8ไปเรื่อยๆ (parallel 8) เช่นกันแต่จะมีโน้ตตัวที่ 2,3หรือ5 นับจากโน้ตตัวฐานแทรกเข้ามาเป็นตัวประกอบ
ในด้านจังหวะท่อนนี้ไม่ปรากฎ Time signature เช่นเดียวกับท่อนอื่นๆแต่เมื่อเราฟังหรือเล่นไปพร้อมๆกับดูโน้ตเราสามารถตีความโน้ตเขบ็ดหนึ่งชั้น (eight notes) มีค่าเท่ากับครึ่งจังหวะคือเราสามารถคิดเป็น 1และ2และ 1และ2และได้อย่างนี้ไปเรื่อยๆน



ท่อนที่
3 ท่อน C
             เพลงปรากฎ tempo mark คือ lento&religios ซึ่งหมายถึงslowly & religious หรือช้าๆและค่อนข้างไปทางศาสนา

              ในด้านMelodyค่อนข้างไปทางAm key ในทาง natural minor เพราะโน้ตตัวที่7ของscale(G) ไม่ได้ติด sharp
                ในด้านของจังหวะสามารถตีความโน้ตเขบ็ดหนึ่งชั้น (Eight Notes) มีค่าเท่ากับครึ่งจังหวะและตัวดำ(Haft Notes)เท่ากับ1จังหวะ คือเราสามารถคิดตัวเขบ็ดที่ปรากฎเป็นครึ่งจังหวะนับเป็น 1และ2และ 1และ2และได้อย่างนี้ไปเรื่อยๆ(คล้ายๆกับท่อนB) ซึ่งจะแตกต่างกับท่อนAที่คิดตัวเขบ็ดเป็นตัวละ1จังหวะ
             ด้านเทคนิคพิเศษผู้เล่นจะต้องตีสายบริเวณส่วนท้ายของสายกีตาร์ (Bridge) โดยสังเกตได้จากเครื่องหมายอักษรtamboraใต้โน้ต ซึ่งหากนับตัวเขบ็ดที่ปรากฎเป็นครึ่งจังหวะเทคนิคนี้จะปรากฎเป็นcolor ที่แม่จังหวะของทุกๆกลุ่มโน้ตสลับกับการดีดmelody
              ท่อนA’ เป็นการซ้ำAทั้งหมดหากแต่แตกต่างตรงตอนจบเท่านั้นที่ไม่มีเทคนิคที่ใช้เล็บแตะที่โคนสายกีตาร์

ท่อน
D
              เปรียบเสมือนเป็น Coda ของเพลงนี้ ในเพลงนี้มี tempo mark คือ poco piu mosso e ritmico แปลเป็นภาษาอังกฤได้ว่า little quickly หรือเร็วขึ้นนิดหน่อย              ก่อนเข้าsectionหลักมีเทคนิคตีข้างกีตาร์และหน้ากีตาร์ปรากฎอยู่เพื่อเป็นการเตรียมเข้า section หลัก (คล้ายๆกับท่อนBแต่ยาวกว่า) นอกจากนี้แล้วยังเป็นการเตรียมที่จะใส่ท่อนไม้ที่บาร์ที่หนึ่งของกีตาร์เพื่อสร้างSpecial Effect ในท่อนนี้ให้มีเหมือนกับ Tanpura     คลอไปพร้อมกับmelody
             Melody ของท่อนนี้ปรากฎชัดเจนว่าเป็นA Major Key ซึ่งประกอบด้วยโน้ต A B C# D E F# และ G#
           จังหวะค่าโน้ตของท่อนนี้ค่อนข้างซับซ้อนมากกว่าท่อนอื่นๆคือมีทั้งเขบ็ด2ชั้น (Sixteenth Notes) และเขบ็ด3ชั้น ซึ่งทำให้เพลงฟังดูเร็วขึ้นด้วยจังหวะที่เร็วขึ้นด้วยแม้จะไม่มากแต่ทว่าค่าโน้ตมีจำนวนมากขึ้นด้วย
เพลงนี้ตอนจบจะให้เทคนิคการเคาะตัวกีตาร์ซึ่งเคาะจนจบจากดังไปเบา

http://youtu.be/F4K6Wxr1sys